“คานาสือ” ดินแดนในฝันอันลี้ลับ

บทความนี้ไปคัดลอกมากเพื่อแปะไว้อ่านจาก http://thaimoderntravel.co.th/2017/07/ทัวร์คานาสือ/ เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตก็คิดอยากจะไปธิเบตอยู่เอามากเลยครับ  ไปตามรอยพระถังแต่ไม่แน่ใจว่าจะไปถูกที่หรือเปล่า  แต่เอาเป็นว่าก็อยากจะไปธิเบตกเลยอยากเอาเรื่องราวของคนที่เคยไปมาอ่านดู


บันทึกการเดินทางสู่ “คานาสือ” โดยนายแพทย์ไพวงศ์ สวนดอก เดินทางไปยังดินแดนในฝัน  ที่หลายคนถ้าได้เห็นภาพจากการค้นหาในอินเตอรเน็ตแล้วคงไม่เชื่อสายตาว่าภาพที่เห็นเป็นภาพจริงๆหรือเป็นภาพที่แต่งเติมสีเข้าไปให้ดูหลอกตา  และสำหรับบันทึกการเดินทางสู่คานาสือครั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณเหล่าคุณหมอและเพื่อนๆอีกเช่นเคยที่คอยบันทึกเรื่องราวการท่องโลกกับไทยโมเดิร์นทราเวลไว้ให้เราหลายๆคนจดจำ

         วันแรกการเดินทาง วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2552 พวกเราคณะทัวร์จำนวน 17 คน ประกอบด้วย คุณกอบชัย – หมอศิริพัช(หมอหวาน) อุบลสิงห์ คุณเพ็ญจันทร์ เธียรประมุข คุณบุญส่ง – จามรี(แพะ) สิริรัตน์ คุณหมอทวีศักดิ์ – สุรนันท์ ตีระวัฒนพงษ์ หมอไพวงศ์ – สุพรทิพย์ (แป๋น)สวนดอก คุณหมอนคร ศิริทรัพย์ คุณวิโรจน์ – เอื้อมพร คลังบุญครอง คุณหมออุไร บุญรักษ์ คุณหมอประภัสสร รัชตะปิติ คุณวรรณี(อู๊ด) สุขวิชชัย คุณอรุณี จันทรสนิท และคุณสุนีย์ แซ่เตียไกด์ผู้นำทัวร์ นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้นสี่ประตูเก้า เวลา 16.30น. เพื่อเดินทางไปกวางโจว หรือกวางเจา โดยสารการบินChina Southern Airlines เที่ยวบินที่ CZ 364 เครื่องบินออกจากกรุงเทพเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง ไปถึงกวางโจวซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และไปขึ้นรถบัสที่ไกด์ท้องถิ่นนำมารับได้ เกือบเที่ยงคืนของจีน เพราะเวลาของจีนเร็วกว่าของไทย หนึ่งชั่วโมง ไกด์ท้องถิ่นชื่อน้องหยก เป็นชาวสิบสองปันนา พูดไทยได้คล่อง เธอได้แนะนำพวกเราให้รู้จักกวางโจว หรือที่คนไทยเรียกกวางเจาว่า เป็นเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง เป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดกลาง ผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อุปกรณ์อีเล็คทรอนิค เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไหล่รถยนต์ และที่สำคัญที่สุดผลิตสินค้าก็อปปี้ หรือของปลอมไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาโรเล็ก หรือยี่ห้อดังๆทุกรุ่นมีหมด แม้แต่ไข่ปลอมก็มีราคาต้นทุนไม่เกินแปดสิบสตางค์ ที่นี้อากาศร้อนครึ่งปีและหนาวครึ่งปี หน้าหนาวเริ่มเดือนตุลาคม ช่วงนี้ยังร้อนมาก ร้อนกว่าเมืองไทยมาก เป็นเมืองที่อาหารอร่อยติดอันดับของจีน สถานท่องเที่ยวในกวางโจวมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะมาลงเครื่องเพื่อผ่านไปเมืองอื่น เธอได้นำพวกเราไปพัก ที่ โรงแรม LANDMARK HOTEL ระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำจูเจียง หรือแม่น้ำไข่มุก

         วันที่สองของการเที่ยวตรงกับ วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2552 (หอที่ระลึกดร.ซุนยัดเซน- อนุสาวรีย์ห้าแพะ-อูรูมูฉี)หลังอาหารเช้าที่โรงแรม พวกราไปชมหอที่ระลึกดร.ซุนยัดเซ็น ซึ่งถูกสร้างโดยผู้ที่เคารพนับถือท่าน มีอนุสาวรีย์ของท่าน อดีตผู้นำจีน ที่ชาวจีนให้ความเคารพ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำหัวก้าวหน้า ทำการเปลี่ยนแปลงจากระบอบจักรพรรดิเป็นประชาธิปไตย เป็นจีนยุคใหม่ ท่านเปรียบเหมือนบิดาของชาวจีนยุคใหม่ ท่านและประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค เป็นคู่เขยกัน ภรรยาของ ท่านชื่อ ช่งฉิ้งหลิงเป็นพี่สาวของภรรยาท่านเจียงไคเช็ค ภายในหอ มีประวัติการต่อสู้ของท่าน ท่านเสียชืวิตเมื่ออายุ 59 ปี ส่วนภรรยาของท่านมีอายุยืนถึง 105 ปีและไปเสียชีวิตที่ฮาวาย หลังจากนั้นไปชม อนุสาวรีย์ห้าแพะสัญลักษณ์ของเมืองกวางโจว ตำนานเล่าว่าในสมัยโบราณเมืองกวางโจว ขาดแคลนอาหารเกิดความอดอยากแร้นแค้นเทวดาเห็นใจ ได้ส่งแพะห้าตัวและเมล็ดพืชพันธ์มาให้หว่านปลูก ต่อมากวางโจวจึงอุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกอะไรก็ขึ้นงาม ชาวเมืองจึงสำนึกในบุญคุณ จึงสร้างอนุสาวรีย์ห้าแพะไว้เป็นที่ระลึก อนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบขั้น จากนั้นไปกินอาหารเที่ยง เสร็จแล้วไปสนามบินเพื่อเดินทางไป อูรูมูฉี (Urumqi) เมืองหลวง ของเขตปกครองตนเอง ซินเจียง อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ห่างไกลจากกวางโจวมากเพราะกวางโจอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ต้องใช้เวลาบินเกือบห้าชั่วโมง ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเราเหินฟ้า โดยสายการบินไชน่าเซาท์เทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ CZ 6888 จากกวางโจว ถึงสนามบินอูรูมูฉี (Urumqi) gdnv[lk,mj6, เวลาที่อูรูมูฉีเร็วกว่าปักกิ่ง หนึ่งชั่วโมง เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง กว่าจะออกจากสนามบินได้ เกือบสี่ทุ่ม ไกด์ท้องถิ่นชื่ออ้วยเสี่ยวหง มาต้อนรับพวกเรา พร้อมกับน้องจอม ลูกชายคนเล็กของผม ซึ่งมารียนภาษาจีนที่หังโจว ได้มาเที่ยวอูรูมูฉีก่อนแล้วสองวัน ช่วงนี้ยังปิดเทอมจึงนัดแนะให้มาเที่ยวด้วยกันอีก เมื่อเดือนก่อนก็ไปเที่ยวกุ้ยหลินด้วยกันครั้งหนึ่งแล้ว ไกด์อ้วย เสี่ยวหงได้นำพวกเราไปขึ้นรถบัสเพื่อเข้าที่พัก เธอได้แนะนำให้รู้จักเขตปกครองตนเองซินเจียง (Xinjiang) ซึ่งมีเนื้อที่กว้างใหญ่ประมาณสี่เท่าของประเทศไทย เป็นมณฑลที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีพรมแดนติดต่อกับต่างประเทศถึงแปดประเทศ คือ มองโกเลีย รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน ทาจิกิซสถาน อาฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย แม้มณฑลซินเจียงจะมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีเนื้อที่มากกว่าเมืองไทยประมาณสี่เท่า แต่มีประชากรน้อยกว่าไทยถึงสี่เท่าคือประมาณ สิบห้าล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่าชาวอุยกูร์ (Uygur) เป็นจีนมุสลิม พูดภาษาเตอร์กิส (ตุรกี) ที่กำลังมีปัญหากับรัฐบาล เพิ่งโดนปราบปรามไปเมื่อไม่นานมานี้เอง นอกจากเผ่าอุยกูร์ ยังมีชนกลุ่มน้อยเผ่าอื่นๆอีกหลายเผ่า เช่นพวกมองโกเลียน (Mongolian) เผ่าคาซัค (Kazak) พวกเคอกิซ (kirkis ) พวกหุย (Hui) พวกทาจิค (tajik) พวกซิโบ(Xibo) เผ่าตาต้า (Tatar) เผ่าแมนจู (Manchu) เผ่าอุซเบก (Uzbek) และยังมีชาวฮั่นเป็นชนชาวจีนแท้อีกส่วนหนึ่ง ในอดีตซินเจียงป็นเส้นทางการค้ามี่สำคัญระหว่างตะวันออกสู่ตะวันตก หรือที่รู้จักกันในนามเส้นทางสายไหม ภูมิประเทศประกอบด้วยเทือกเขาใหญ่ๆพาดผ่านถึงสามเทือกเขา คือเทือกเขาอะลาไท่ หรืออัลไต (Altay)ทอดผ่านทางเหนือ ตรงกลางพาดด้วยเทือกเขาเทียนซาน (Tianshan) ทางใต้เทือกเขาคุนลุ้น (Kunlun) พาดผ่าน และยังมีทะเลทรายตากะลิมากัน (Taklimakan) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน ซินเจียงมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทราย ทุ่งหญ้า ที่ราบ ที่ราบสูง ภูเขา ป่าไม้ เหมืองแร่ ทะเลสาบ แม่น้ำ ตลอดจนบ่อน้ำมันมหาศาล เวลาที่ซินเจียงจะเร็วกว่าปักกิ่งหนึ่งชั่วโมง ซินเจียงปกครองตนเองแต่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางอีกที ในเมืองจีนมีเขตปกครองตนเองห้าเอง คือซินเจียง ซีจ้างหรือทิเบต กวางสี มองโกเลียใน และหนิงเซียะเมืองนี้มีอิสลามมากเหมือนกัน พวกเราไปถึงที่พักเกือบห้าทุ่ม ตามเวลาปักกิ่ง เราพักที่ Hualing Grand Hotel ระดับห้าดาว
         วันที่สาม วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2552 (ภูเขาห้าสี- ฟู่หยุน-เทือกเขาอัลไต) หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เราเดินทาง ออกจากเมืองอูรูมูฉี (Urumqi) เมืองหลวงของซินเจียง เพื่อไปชมภูเขาห้าสี คำว่าอูรูมูฉี เป็นภาษามองโกล แปลว่าสนามม้า รถบัสแล่นผ่านท้องทุ่งที่ราบทางตอนเหนือของเทือกเขาเทียนซาน อดีตเคยเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์อันกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานตามเส้นทางสายไหม ได้รับสมญานามว่า “ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าอันสวยงาม” เดี๋ยวนี้ถนนดีมากรถแล่นไปสักพักเริ่มผ่านที่ราบสูง สองข้างทางเป็นเนินเขาหิน ขนาดย่อมๆเต็มไปหมด จากพื้นหญ้าเริ่มกลายเป็นพื้นทรายปนหิน เป็นทะเลทรายที่ลมพัดเอาทรายออกไปหมดแล้ว เรียกว่าทะเลทรายที่ไม่เคลื่อนไหวแล้ว ไม่ค่อยมีต้นไม้ นอกจากต้นหงหลิวเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆดอกสี่ชมพูแกมม่วงใบคล้ายๆต้นสน และ ต้นซัวซัวต้นเล็กๆเป็น ไม้ทะเลทราย เรานั่งรถจนเที่ยงจึงแวะกินอาหารเที่ยง ที่ฝ่อเซาซาน หลังจากนั้นนั่งรถเข้าไปชมภูเขาห้าสี เป็นเขาดินผสมหินลูกเตี้ยๆสามารถเดินขึ้นไปได้ไม่มีต้นไม้ แต่ละชั้นมีสีต่างๆไม่เหมือนกันสีแดง น้ำตาล เหลือง ฟ้า เขียวปนเทา มีหลายลูก บางลูกเขาทำทางเดินด้วยดินผสมหินเป็นขั้นบันไดแคบๆ พอจะเดินสวนกันได้ไม่มีราวบันได เดินขึ้นลงลำบาก เมื่อเดินขึ้นไปถึงยอดเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพกว้างไกล ได้รอบทิศ เห็นเนินเขาสีต่างๆเต็มไปหมด พวกเราทุกคนเดินขึ้นไปถ่ายรูป ยกเว้นวิโรจน์ เพียงคนเดียวที่ไม่ยอมเดินขึ้น คงเดินสำรวจอยู่ข้างล่าง ไม่ทราบว่ากลัวความสูง หรือกลัวปวดเข่ากันแน่ หลังจากชื่นชมธรรมชาติกันพอสมควรแก่เวลา ก็ขึ้นรถกลับทางเดิมไปแวะชม และถ่ายรูปที่ ภูเขาฝ่อเซาซานเป็นภูเขาหินสีแดงเหมือนถ่านไฟที่กำลังติดไฟแดงๆ ผมเลยตั้งชื่อว่าภูเขาอัคคี จากนั้นกลับทางเดิมไปขึ้นทางหลวงหมายเลข216 เพื่อมุ่งไปยังเมืองฟู่หยุน ผ่านเขตคุ้มครองสัตว์ป่าคาลามาย ไม่ได้แวะเข้าไปข้างใน ไกด์เล่าว่าภายในมีการอนุรักษ์ม้าป่าสมัยโบราณ ที่เกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เป็นม้าป่าพันธุ์ดีที่ในสมัยโบราณใช้ในกองทัพ เพราะเป็นม้าฝีเท้าจัดวิ่งได้เร็วและอดทนมาก ต่างจากม้าทั่วไป รถบัสนำพวกเราเข้าใกล้เทือกเขาอัลไตเข้าไปทุกที และในที่สุดเราถึงเมืองฟู่หยุน ช่วงใกล้ค่ำ ได้แวะกินอาหารเย็น ก่อนเข้าที่พักที่ โรงแรมชานเหอ (Shanhe Hotel) ระดับสี่ดาว
         วันที่สี่ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2552 ( ทะเลสาบเป็ดป่า-วนอุทยานเขอเขอทอไห่-เมืองปู้เอ๋อจิน) ตื่นเช้าอากาศดี ผม แป๋น จอม และคุณหมอนคร ออกไปเดินชมเมืองฟู่หยุน เป็นเมืองเล็กๆ อาคารบ้านเรือนยังใหม่ ถนนหนทางสะอาด เห็นเทือกเขาอัลไต(อาลาไท่)อยู่ข้างหน้า เดินไปสักพัก เจอผู้คนมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะกันพอประมาณ จนใกล้เวลานัดทานอาหารเช้าจึงเดินกลับโรงแรม หลังอาหารเช้า ออกเดินทางไปชมวนอุทยานแห่งชาติ เขอเขอทอไห่ รถบัสได้แล่นขึ้นทางชันเป็นเนินเขา คดเคี้ยวไปมา รถแล่นไปตามซอกเขา ทิวทัศน์สวยงามด้านหนึ่งมีสายธารไหลผ่าน มีป่าไม้ที่สมบูรณ์ ด้านหนึ่งเป็นภูเขา อากาศดี สักพักเราผ่านทะเลสาบ เขอเขอสุลีหู(ทะเลสาบเป็ดป่า) รถจอดให้พวกเราได้ถ่ายภาพ จากนั้นผ่านทะเลสาบอีกแห่งชื่อทะเลสาบอีหลีมู่เท่อหู หรือทะเลสาบน้ำหนาว เพราะในฤดูหนาวน้ำจะหนาวเย็นมาก อุณหภูมิ ลบสามสิบองศาเซนเซียสบางปีเย็นถึงลบห้าสิบองศาเซ็นเซียส ไกด์เล่าว่าหนาวกว่าแถวฮาบินเสียอีก สันนิฐานว่าที่นี้ในอดีตกาลเคยเกิดแผ่นดินไหว ทำให้แผ่นเปลือกโลกแยกออกจากกัน กลายเป็นทะเลสาบสีคราม จุดที่ลึกสุดลึกถึงหนึ่งร้อยเมตร จากนั้นเดินทางสู่ วนอุทยานแห่งชาติ เขอเขอทอไห่ ซึ่งเพิ่งเปิดให้เข้าชมมาประมาณหนึ่งปีนี่เอง และกำลังจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ขณะที่รถแล่นขึ้นภูเขาไกด์ได้บอกพวกเราให้ดูข้างทางถ้าโชคดีอาจจะเห็นตัวฮั่นข่า เป็นสัตว์อนุรักษ์ ลักษณะคล้ายหนูแต่โตกว่าเล็กน้อย ขนสีทอง ชอบออกมาวิ่งตามริมทางตอนเช้าๆ แต่วันนี้สายแล้วอาจไม่เจอก็ได้ พวกเราพยายามมองก็ไม่เจอ รถแล่นพาพวกเราลัดเลาะไปตามภูเขาจนถึงจุดจอดรถของอุทยาน ต้องเปลี่ยนรถ เพราะเขาไม่อนุญาตให้เข้าไปในอุทยาน ต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าของอุทยาน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และห้ามทิ้งขยะโดยเด็ดขาด รถไฟฟ้าของอุทยานคันหนึ่งนั่งได้ไม่เกินสิบคน เขาขับช้าๆพาพวกเราแล่นชมป่าไม้ สายธารที่ไหลผ่านโขดหิน ภูเขา ม้า และกระโจมที่พักของชาวคาซัค ทิวทัศน์ สองข้างทางสวยงามมาก มีสาวสวยหน้าตาดี เธอเป็นคนจีนผสมคาซัค เรียกว่าคาซักเค่อ เป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยาน เป็นไกด์คอยบรรยาย เธอบอกว่าที่นี้อากาศดีมากมีค่าออกซิเจนสูงมาก เธอชี้ให้ดูป้ายหิน เขียนว่า High Oxygen Area ค่าโอโซนสูงมาก ทำให้นึกถึงบ้านผางามของคุณนิคม –ปราณี เพื่อนของเรา ที่มีค่าโอโซนสูงมากเหมือนกัน รถแล่นตามถนนเลียบลำธารอีกด้านเป็นป่าไม้ บางช่วงเป็นภูเขา ฝั่งที่เป็นแม่น้ำ เวลาหน้าหนาวน้ำจะเป็นน้ำแข็ง ขณะนี้น้ำไม่มากนักไหลผ่านก้อนหินน้ำแตกเป็นฟองขาวใส น้ำนี้มาจากแม่น้ำที่เกิดจากหิมะละลายไหลมาจากเทือกเขาอัลไต (Altay) ชื่อแม่น้ำ เอ่อเอ้อฉีสือเหอ ชื่อเรียกยาก พวกเราเลยตั้งชื่อเสียใหม่ให้จำง่ายว่า เอ่อเอ้อฉี่ที่เผลอ ปรากฏว่าได้ผลทุกคนจำกันได้ดี ริมฝั่งธารมีแมกไม้ขึ้นเขียวไปหมด เป็นป่าสนที่สมบูรณ์มาก ไกลออกไปเป็นภูเขามีต้นไม้ใบสีเขียว บางต้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง บางต้นสีแดงนิดๆสวยงามมาก อีกด้านเป็นภูเขาหิน มีทั้งรูปเต่า รูปจระเข้ รูปสิงโต เวลาดูต้องจินตนาการตามผู้บรรยายไปด้วย บางช่วงผ่านที่อาศัยของชาวบ้าน เป็นบ้านก่อด้วยดินชั้นเดียวสร้างง่ายๆ เป็นที่อาศัยป้อง กันลมฝนของชาวบ้าน ไกด์ได้เล่าว่าชาวบ้านได้อาศัยที่นี้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อทางการมาจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็ยังให้ชาวบ้านอยู่ได้เหมือนเดิม แต่ควบคุมความเป็นระเบียบและความสะอาด ต้นไม้ในอุทยานมีมากมายหลายพันธ์ โดยเฉพาะต้นสนมีหลายสิบชนิด ต้นไป่ฮั้วใบคล้ายระฆัง ต้นที่เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทอง เมื่อโดนแสงแดดและลมพัดใบสั่นไหวเป็นประกายระยิบระยับ เหมือนสั่นระฆังดูสวยงามมาก โดยเฉพาะในสวนไป่ฮั้ว ที่ขึ้นกันแน่นหลายร้อยต้น ผ่านต้นสนยืนต้นคู่กับต้นใบระฆัง ผู้บรรยายบอกว่าเป็นต้นไม้คู่รัก เธอเปรียบต้นสนเหมือนเจ้าบ่าวที่แข็งแรง ส่วนต้นใบระฆังเหมือนเจ้าสาวที่สวยงาม วนอุทยานเขอเขอทอไห่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก ทางจีนถือเป็นแหล่งธรณีวิทยา (National Geology Park) ที่สำคัญ ชื่อทางภาษามองโกเลียนเรียกว่า Blue Bay ในภาษา Kazak เรียกว่า Green Woods เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีลักษณะพิเศษทางธรณีวิทยา พื้นที่นี้ในอดีตกาลเกิดจากแผ่นดินไหว และน้ำท่วม จึงทำให้เกิด ผาหินแกรนิตที่แข็งแรงและสวยงาม เป็นแหล่งธรณีวิทยาอันสำคัญและยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เรานั่งรถชมได้เพียงบางส่วน รถแล่นจนเกือบถึงสะพาน ไกด์ของอุทยาน บอกว่าสะพานที่เห็นข้างหน้าชื่อสะพานโชคดี เธอแนะนำให้พวกเราเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งแล้วจะโชคดี และให้เดินขึ้นไปยังจุดชมวิว จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม และจะได้เห็น ภูเขาเสินจง หรือภูเขาระฆังคว่ำ (Diving Bell Mountain) ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิต รูปร่างคล้ายระฆังคว่ำ ภูเขานี้มีความสูงประมาณ350 เมตร ด้านล่างใกล้ฐานภูเขา มีสายธารน้ำไหลผ่านโขดหิน และมีต้นไม้ขึ้นรอบริมฝั่ง มองดูเป็นธรรมชาติที่สวยงาม หาดูได้ยาก หลังจากยืนถ่ายภาพกันจนเป็นที่พอใจ ก็เดินข้ามสะพานกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าของอุทยาน ตอนกลับผ่านกระโจมจำนวนมาก ที่ชาวบ้านกางไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่านอนพักแรม เราขอให้เขาจอดรถ ลงไปชมข้างในกระโจม กว้างมากสามารถนอนได้หลังละประมาณสิบห้าถึงยี่สิบคน เจ้าของเป็นชนเผ่าคาซัค อัธยาศัยดี เชิญชวนให้พวกเราพักที่กระโจมของเขา แต่เนื่องจากเราจะต้องเดินทางต่อไปตามรายการที่กำหนดไว้แล้ว จึงไม่สามารถตอบสนองคำเชิญของเขา จากนั้นไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปขึ้นรถบัสของเราและขับออกอุทยานไปแวะชมเหมืองแร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขาขุดภูเขาลงไปลึกและกว้างมาก เพื่อขนเอาหินที่มีแร่ผสมอยู่ไปถลุงต่อไป เป็นแร่พวกลิเที่ยม บริลลาเรี่ยม และอีกชนิดหนึ่งเป็นแร่ที่หายากใช้ในการจุดระเบิดส่งจรวด แร่เหล่านี้จีนจะต้องขายให้รัสเซีย ตามข้อตกลงที่รัสเซียได้มาช่วยในการสร้างเหมืองนี้ในครั้งแรก จากนั้นไปรับประทานอาหารเที่ยง ตอนบ่ายเดินทางต่อไป ยังเมืองปู้เอ๋อจิน เป็นเมืองที่พัฒนาแล้ว ที่อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติคานาส หรือที่ชาวจีนเรียกคานาสือ ห่างกันเพียง 160 กิโลเมตร และมีชื่อเสียงเรื่องปลาน้ำเย็น ซึ่งเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่ม ที่สามารถหาได้จาก สถานที่ที่มีน้ำเย็นจัดๆ ที่ไหลจากเทือกเขาที่น้ำแข็งละลายไหลลงสู่แม่น้ำหรือทะเลสาบ พวกเรานั่งรถบัสแล่นตามไหล่เขาทางโค้งคดเคี้ยวไปมาผ่านเทือกเขาหลายลูก เวลารถขึ้นเขาสูงมองลงไปจะเห็นถนนด้านล่างคดเคี้ยวไปมายิ่งกว่าเขาพับผ้า เส้นทางสวยมาก ต้นไม้สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นสีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง สวยงามมาก นั่งชมทิวทัศน์ไม่เบื่อ จุดไหนที่สวยงาม ก็ถ่ายภาพเก็บไว้อย่างสนุกและมีความสุข เวลาผ่านไปจนเกือบหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ายังสว่างแดดอ่อนๆเหมือนสักห้าโมงเย็นของบ้านเรา ในที่สุดก็ถึงเมืองปู้เอ๋อจิน รับประทานอาหารค่ำ มื้อนี้ได้กินปลาน้ำเย็นที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ รดชาด อร่อยดี แต่ตัวเล็กไปหน่อย กินกันไม่จุใจ วิโรจน์บ่นว่าตัวใหญ่ๆสงสัยให้ฝรั่งกินหมด จึงบอกให้ไกด์ขอเพิ่มอีกจาน อาหารรดชาดดีขณะรับประทานผลไม้ เสียงเพลงแฮบปี้เบิทเดย์ ก็ดังขึ้น เมื่อ ไกด์ คุณสุนี และ อ้วยเสี่ยวหง เธอนำเค็กวันเกิดมาให้ คุณหมอทวีศักดิ์ เป่าเทียน พวกเราเลยร้องเพลงกันอีกรอบ เสร็จแล้วเข้าพักที่ Shen Hu Hotel ระดับสี่ดาว
         วันที่ห้า วันอังคารที่ 1 กันยายน 2552 (หมู่บ้านเหอมู่-ชหมู่บ้านเผ่าถูหว่า-หุบเขาเจียเติงยี่) หลังอาหารเช้า ออกเดินทางไปชมหมู่บ้านเหอมู่ที่อยู่ด้านบนภูเขา ใกล้อุทยาน นั่งรถบัสไปตามเส้นทางที่สวยงาม เลียบเชิงเขาและแม่น้ำ ป่าไม้เริ่มเปลี่ยนสี สีเขียวยังมากแต่เริ่มมีสีเหลืองทองและสีส้มแซมบ้าง ในที่สุดเราก็ถึงหมู่บ้านเหอมู่ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ได้รับการอนุรักษ์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของหมู่บ้านนี้ เขาจะเน้นการใช้ไม้ทั้งต้นมาก่อสร้างแม้แต่หลังคาก็ใช้ไม้ใหญ่ที่ทนต่อลมและหิมะมามุง รถบัสของเราต้องจอดที่นี่และเปลี่ยนไปขึ้นรถของอุทยานเพื่อเข้าหมู่บ้านของชาวเผ่าถูหว่า ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม ว่ากันว่าสืบสกุลมาจากทหารเจงกิสข่านที่เคยมารบและตกค้างอยู่ที่นี่ พวกเผ่าถูหว่ายังคงมีประเพณีและภาษาของตนเองเป็นภาษาท้องถิ่นโบราณที่ใช้กันน้อยแล้ว นอกจากทีนี่ยังมีหมู่บ้านชาวถูหว่าที่คานาสือด้วย รถของอุทยานได้นำพวกเราขึ้นเขา เส้นทางผ่านป่าไม้สองข้างทางเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยป่าสนและต้นไป่ฮั้วหรือต้นใบระฆัง บางต้นเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลืองทอง และสีส้ม เมื่อโดนลมพัดใบระฆังจะสั่นพลิ้วไหว พอโดนแดดสาดส่อง จะเห็นเป็นประกายระยิบระยับ สวยงามมาก เส้นทางบางช่วงผ่านระหว่างซอกภูเขาและหุบเหวเห็นสายธารน้ำใสไหลกระทบโขดหิน น้ำแตกกระจายเป็นฟองฟู่ดูขาว สะอาด เป็นธรรมชาติที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก คุ้มค่าเหนื่อย เรานั่งรถวกไปวนมาสักพักใหญ่ ในที่สุดก็ถึงหมู่บ้าน ชาวเผ่าถูหว่า รถจอดให้พวกเราลง เดินเล่น และรับประทานอาหารเที่ยง ที่ปรุงกันสดๆร้อนๆ อาหารอร่อยดี ที่นี่มีที่ห้องพักไว้บริการแขก ห้องเล็กๆแต่สะอาดสะอ้านดี หลังอาหารเที่ยงมีชาวถูหว่านำม้ามาให้เช่าขี่ขึ้นเขา ชมหมู่บ้าน คุณหมอประภัสสร กอบชัย หมอสิริพัช วิโรจน์ เอื้อมพร บุญส่ง จามรี วรรณี หมอทวีศักดิ์ สุรนันท์ ตัดสินใจขี่ม้าคนละหกสิบหยวน อีกหลายคนไม่ยอมใช้บริการด้วยเหตุผลที่ต่างกัน บางคนต้องการเดินถ่ายภาพ บางคนกลัวริดสีดวงแตก ส่วนผมเคยตกม้ามาสองครั้งแล้ว เลยชักจะขยาด ขอเดินดีกว่า เที่ยวนี้ ก็ยังมีคนตกม้าอีกจนได้ คือ อู๊ด วรรณี เธอตกม้าขณะขึ้นภูเขา ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมากนัก แค่ขัดยอกนิดหน่อย คุณหมอประภัสสรขี่ไปได้เล็กน้อย เห็นท่าไม่ดีเกรงจะตกขอลงและให้ไกด์สาวอ้วยเสี่ยวหง ขี่แทน เธอขี่ม้าเก่งควบม้าอย่างชำนาญ พวกที่เดินก็เดินชมวิวเข้าไปในหมู่บ้าน แวะถ่ายรูปแม่น้ำ เดินข้ามสะพาน ขึ้นภูเขามองออกไปไกลๆเห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวเหมือนเอาพรมไปปูไว้ ต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ช่วยทำให้เกิดฝนตกเป็นประจำ ประกบกับหิมะละลายจากเทือกเขาอัลไต กลายเป็นแม่น้ำใหญ่ ฃื่อ เอ๋อเอ้อฉี่สือเหอ หรือเอ๋อเอ้อฉี่ที่เผลอที่พวกเราเรียกกัน แม่น้ำสายนี้ไหลแตกสาขาเข้ามาถึงหมู่บ้านชาวถูหว่าได้เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์กันอย่างสมบูรณ์ และขณะนี้หมู่บ้านนี้กำลังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ นำรายได้ให้พวกเขาอย่างทั่วถึงกัน เราหยุดพักริมธารน้ำรับลมเย็นอยู่พักหนึ่ง จึงเดินขึ้นไปบนภูเขาต่อ เดินไปตามทางเดินที่ทำเป็นขั้นบันไดเดินได้สะดวก มีทางแยก แล้วแต่ใครอยากเดินไปใกล้ไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องกลับไปขึ้นรถของอุทยานก่อนสี่โมงเย็น แป๋น คุณหมออุไร คุณอรุณี ขอเดินชมวิวและถ่ายภาพแถวๆแม่น้ำไม่ยอมขึ้นถูเขา เพราะแดดร้อนและกลัวเหนื่อย ผม หมอนคร และน้องจอม สุนีย์ เพ็ญจันทร์ เดินขึ้นเขาและแยกไปด้านซ้าย ขึ้นบันไดสูงขึ้นไปเรื่อยจนสุดเส้นทาง ถึงจุดชมวิว มองจากที่สูงเห็นทิวทัศน์สวยงามสุดสายตาเห็นป่าไม้สีเจียวขึ้นเต็มภูเขา มองไกลๆเหมือนเอาพรมปูไว้ เห็น สายธารที่ไหลผ่านโขดหินน้ำแตกเป็นฟองขาว ป่าสนและไม้ที่เปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลืองทอง บางต้นเป็นสีส้มอมแดง ขึ้นตามริมฝั่งสวยงามมากยากจะบรรยาย โดยเฉพาะต้นใบระฆังเมื่อโดนแสงแดดส่องและลมพัดใบสั่นดูระยิบระยับ งามเหลือเกิน หมู่บ้านถูหว่า อุดมสมบูรณ์ เพราะน้ำดีมีฝนตกบ่อยๆ ชาวบ้านนอกจากทำการเพาะปลูกแล้ว เดี๋ยวนี้ยังค้าขายสิ่งของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว บริการให้เช่าม้า ที่พักแรมคืน ร้านอาหาร ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวในราคาไม่แพงนัก เพราะธรรมชาติสวยงาม อากาศดี มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวมากขึ้นทุกวัน พวกเราโชคดีที่มาในช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังไม่มากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี อากาศดี วันนี้ฝนไม่ตก เพราะบางวันฝนจะตกมากเที่ยวไม่สะดวก พวกเราเลยตักตวงอาหารตาด้วยการถ่ายภาพ กันอย่างสนุกสุขใจ กันไปตามกัน เห็นบรรยากาศแล้วอดที่จะเขียนกลอนบรรยายมิได้
ทัศนียภาพรอบหมู่บ้านถูหว่า
โอ้แม่เจ้าภาพที่เห็นเด่นเบื้องหน้า===ทั้งภูผา โขดหิน ดินน้ำใส
ภาพหมู่บ้านเรียงรายอยู่ไกลไกลป่าพงไพรมากมายที่ได้ยล
เขียวดั่งพรมห่มภูคู่โลกหล้าไพรพนาซึมซับรับน้ำฝน
ที่หลั่งมาจากฟากฟ้า ณ เบื้องบนกลายเป็นชลธารใสไหลลงดิน
น้ำไหลนองเป็นฟองขาวราวปุยฝ้ายแตกกระจายเมื่อพบพานผ่านโขดหิน
ชาวบ้านได้น้ำใช้ไว้ทำกินเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ดี
สองฟากฝั่งคับคั่งด้วยแมกไม้ที่มีใบ เขียวเหลืองทองมองหลากสี
ดูสวยงามตามริมฝั่งข้างนทีแสนยินดีที่ได้เห็นเป็นสุขใจ
ใบระฆังสีทองต้องลำแสงลมพัดแกว่งดูสวยงาม ยามพลิ้วไหว
ภาพที่เห็นเด่นชัดประทับใจความเหน็ดเหนื่อยหายไปเมื่อได้ยล
มิเสียทีที่มาเที่ยวในคราวนี้ธรรมชาติงดงามดีนี่น่าสน
เราถ่ายรูปอย่างสนุกกันทุกคนทุกแห่งหนประทับใจไม่ลืมเลือน

         จนเวลาผ่านไปใกล้สี่โมงเย็นจึงกลับไปขึ้นรถ ของอุทยานเที่ยวสุดท้าย เพื่อกลับไปขึ้นรถบัส ของเราต่อ และเดินทางต่อไปยัง หุบเขาเจียเติงยี่ ซึ่งเป็นปากทางที่จะเข้าอุทยานคานาสือ เส้นทางที่ผ่านรถวิ่งตามไหล่เขา ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามตลอดดูกันไม่เบื่อ โดยเฉพาะใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลืองทอง และส้มแกมแดง ดูสวยงามไปหมด ในที่สุดเราถึงเจียเติงยี่ ซึ่งอยู่ในหุบเขา แต่โรงแรมที่พักสวยงามมีหลายหลัง คืนนี้เราพักที่Hong Fu Sheng Tai Dujia Hotel หลังที่สิบสอง บริเวณนี้มีโรงแรมที่พักมากมายหลายแห่ง เพราะในฤดูท่องเที่ยวในปีก่อนๆคนจะมาเที่ยวกันมาก ในปีนี้ มีการปราบจลาจลที่อูรูมูฉี่ ทำให้หลายคณะขอยกเลิกการเดินทาง แต่คณะของเราเป็นพวกหมูไม่กลัวน้ำร้อนเพราะเคยชินกับการเดินขบวนประท้วงในเมืองไทยมามากแล้ว หมอสิริพัช มักจะบอกว่า ถ้าไม่ปลอดภัย เขาคง ปิดเมืองไม่ให้เที่ยวหรอก ถ้าเปิดให้เที่ยวก็แปลว่าปลอดภัย คราวก่อนไปทิเบตก็เช่นกัน ไปตอนสงกรานต์ รัฐบาลกำลังปราบพวกหัวรุนแรง ปิดเมืองจนถึงวันที่หก เมษายน พอเปิดให้เที่ยว พวกเราก็ไปทันที กลับเป็นผลดี ได้โรงแรมดี ไม่ต้องแย่งเข้าคิวชมสถานทีต่างๆ เที่ยวนี้นอกจากคณะของเรามีคณะอื่นอีก ห้าหกคณะ ก่อนแยกย้ายนำกระเป๋าเข้าห้องพัก นัดกันว่าหนึ่งทุ่มเจอกันที่หน้าห้องอาหาร หลังจากเอาของเก็บในห้อง ส่วนใหญ่จะออกไปเดินถ่ายภาพกัน เพราะฟ้ายังสว่าง แม้จะเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ที่นี้จะค่ำช้า ทิวทัศน์รอบที่พักสวยงามดี มองไปทางไหนก็จะเห็นภูเขา มีกระโจมของชาวบ้านน่าจะเป็นพวกคาซัก มีคอกม้า เลี้ยงม้าไว้หลายตัว หลังจากเดินเล่น และถ่ายรูปกันแล้ว จนเวลาใกล้หนึ่งทุ่มจึงไปห้องอาหาร มื้อนี้เขาจัดอาหารบุฟเฟ่ให้ ส่วนใหญ่เป็นผัก รดชาดพอแหลกไล่ หลังอาหารต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนอากาศค่อนข้างเย็น เราจะพักที่นี้ 2 คืน
         วันที่หก พุธที่ 2 กันยายน 2552 (อุทยานแห่งชาติคานาสือ- ทะลสาบมังกรหลับ-ทะเลสาบวงพระจันทร์-ทะเลสาบเทวดา-ทะเลสาบเทวดา-ทะเลสาบคานาสือ-ศาลาชมปลา) เช้านี้อากาศหนาว หลังจากรับประทานอาหารเช้า เตรียมตัวเดินทางไปชมอุทยานคานาสือ อ้วยเสี่ยวหง ไกด์ท้องถิ่นแนะนำให้พวกเราเอาเสื้อกันหนาวไปด้วย เพราะต้องขึ้นภูเขาอากาศจะหนาวและอาจจะมีฝนตกก็ได้เพราะเช้านี้ฝนเริ่มลงปรอยๆ หลายคนกลับไปเสื้อกันหนาว ในห้องพักของทางโรงแรมที่มีไว้บริการแขก เมื่อสวมแล้วดูคล้ายๆนายทหารจีน ดูตลกดี แต่อบอุ่นมาก รถบัสนำพวกเราออกจากหุบเขาเจียเติงยี่ ไปสู่อุทยานคานาสือ ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นป่า ภูเขา และธารน้ำ ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทองดูสวยงามดี ไม่นานนักเราถึงที่ทำการของอุทยาน เขาห้ามรถบัสภายนอกเข้าไป ต้องไปขึ้นรถของอุทยานเท่านั้น นอกจากคณะของเราแล้วยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นนั่งไปด้วย มีไกด์ของอุทยานแนะนำให้รู้ว่า คานาสือเป็นภาษามองโกลเลียน หมายถึงดินแดนสวยงาม ที่ลี้ลับ ที่มีทะเลสาบไหลผ่านระหว่างถูเขา เป็นดินแดนในฝัน ที่มีธรรมชาติยังสมบูรณ์บริสุทธิ์ สวยงามเหนือคำบรรยาย ตั้งอยู่ในที่ราบสูง 1, 375 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลความยาว25กิโลเมตร กว้าง 1.6 ถึง 29 กิโลเมตร ช่วงที่แคบสุด 1.6กิโลเมตร ช่วงที่กว้างสุด 29 กิโลเมตร เนื้อที่ประมาณ 500 ตารางกิโลเมตร ลักษณะเหมือนฝักถั่วหกกระเปาะ ฝรั่งเรียกชื่อว่า Kanas เป็นวนอุทยานแห่งชาติของจีน ที่กำลังจะขึ้นทะเบียนมรดกโลก มีทะเลสาบหลายแห่งแต่ที่ขึ้นชื่อคือทะเลสาบคานาสือ ที่เรากำลังจะไปล่องเรือ กันในวันนี้ รถแล่นขึ้นทางชันสักพักฝนเริ่มตกลงมาพรำๆ สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่ยังสมบูรณ์มาก รถแล่นได้สักพักก็แวะจอด ที่ทะเลสาบ มังกรหลับ เพื่อให้ พวกเราลงไปถ่ายภาพ แต่ฝนยังตกพรำๆ หลายคนกลัวเปียกฝนนั่งดูในรถ เพื่อนหลายคนกางร่มลงไปดู ผมเองก็ไม่กลัวฝนเพราะสวมเสื้อกันฝนไว้เรียบร้อยแล้ว ลงไปยังจุดชมวิว ถ่ายภาพ ทะเลสาบสีฟ้าเข้มแกมเขียวกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆดูคล้ายสันหลังมังกรที่กำลังหลับ และริมฝั่งมีลักษณะต้นไม้ขึ้นคล้ายตัวไดโนเสา ต้องจินตนาการในการดู
จากนั้น ขึ้นรถต่อไปอีกสักครู่รถก็แวะจอดที่ ทะเลสาบวงพระจันทร์ (เยี่ยเลี่ยงวาน) ทะเลสาบนี้น้ำมีหลากหลายสี เปลี่ยน่ไปตามอุณหภูมิกับลักษณะของท้องฟ้า ถ้าท้องฟ้าครึ้มสีน้ำจะเป็นฟ้าเข้ม ถ้าท้องฟ้าแจ่มใสสีน้ำจะใสตามไปด้วย บางเวลาสีน้ำในทะเลสาบจะเป็นสองสีในเวลาเดียวกันไกด์บอกให้เราดูที่ริมฝั่งจะเห็นเป็นรอยสีขาวสองรอยเขาตั้งชื่อว่ารอยเท้าเจงกิสข่าน เพราะตามตำนานเล่าว่าในอดีตกาลเจงกิสข่านเคยกรีฑาทัพมาถึงที่นี่ และเคยทิ้งทหารแก่ๆที่ป่วยและอ่อนแอ ไว้ที่นี่ตอนยกทัพกลับ ไม่ได้พากลับไปด้วย กลายเป็นชนเผ่าถูหว่า (Tuwa)ที่ยังหลงเหลือลูกหลานจนเท่าทุกวันนี้ ซึ่งมีหมู่บ้านชาวถูหว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี้ จากนั้นรถไปจอดอีกครั้งที่ทะเลสาบเทวดา(เสินเซียนวาน) จุดเด่นอยู่ที่ความใสของน้ำ ตอนเช้าตรู่จะมีหมอกจัดลอยเหนือสายน้ำและจะลอยขึ้นไปเบื้องบน และด้านหลังมีภูเขาตั้งเด่นเป็นสง่าชาวบ้านเลยตั้งชื่อว่าทะเลสาบเทวดา หลังจากลงไปชมวิว ถ่ายรูปกันแล้ว เดินทางต่อไปจนถึงทะเลสาบเป็ดป่า (ยาจือวาน)ไกด์เล่าว่าในหน้าหนาวจะมีเป็ดป่ามากันเป็นฝูง แต่วันนี้ผมไม่เห็นเป็ดสักตัวไม่ว่าจะเป็นเป็ดป่าหรือเป็ดบ้าน จากนั้นนั่งรถไปอีกไม่นานนักก็ถึงจุดจอดรถของอุทยาน พวกเราลงรถเดินไปอีกนิดก็ถึงท่าเรือทะเลสาบคานาสือ ฝรั่งเรียก(Kanas Lake) ชาวบ้านพื้นเมืองเรียกทะเลสาบเปลี่ยนสี เพราะน้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนสีตามความสว่างของท้องฟ้า และตามความลึกของน้ำ และต้นไม้ที่จมในน้ำ ทางการจีนจะไม่ให้เก็บต้นไม้ที่ตายจะปล่อยให้จมไว้ตามธรรมชาติ ทำให้น้ำมีสีต่างๆกัน ทะเลสาบคานาสือ ตั้งอยู่บนความสูง 1,375 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ประมาณ 45 ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ25 กิโลเมตร ความกว้างเฉลี่ยประมาณ 2 กิโลเมตร ความลึกเฉลี่ย 120 เมตร ช่วงที่ลึกที่สุดลึกถึง185 เมตร เป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในประเทศจีน อยู่ภายใต้การโอบล้อมของ เทือกเขาอัลไต(อาลาไท้) น้ำในทะเลสาบไหลมาจากหิมะที่ละลายจากเทือกเขาอัลไต รวมกันกลายเป็นแม่น้ำ เอ้อเอ๋อฉี่สือเหอ หรือที่พวกเราเรียกเอ้อเอ๋อฉี่ที่เผลอ นั่นไง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลจากเอเชียเข้ายุโรป โดยผ่านเข้าไปในรัสเซีย แม่นำนี่มีความยาวถึง 2,969 กิโลเมตร วันนี้เป้าหมายของพวกเราจะมาล่องเรือในทะเลสาบคานาสื ที่ร่ำลือกันว่างดงามนัก อยากเห็นจริงๆว่างามแท้สักแค่ไหน หลังจากลงเรือเรียบร้อยเรือยนต์ ก็แล่นพาพวกเราล่องทะเลสาบ ที่ใหญ่มาก สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยป่าไม้ ตามริมฝั่งมีต้นสนขึ้นเต็มไปหมด ใบสีเขียว เมื่อมองดูไกลๆ เหมือนเอาพรมผืนใหญ่มากางไว้ ก็มิปาน แลเห็นเทือกเขาอยู่ไกลๆ ล้อมรอบทะเลสาบ เป็นทัศนียภาพที่สวยงาม แม้ว่าฝนยังตกพรำๆก็ไม่ทำให้ความสวยงามลดลงเลย จุดเด่นของทะเลสาบคานาสือคือสีของน้ำที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ และความลึกของน้ำ ตลอดจนความหนาแน่นของต้นไม้ที่จมลงในทะเลสาบ ทะเลสาบคานาสือมีคุ้งน้ำใหญ่ 6 แห่ง แต่วันนี้เราจะล่องเรือแค่ 3 คุ้งน้ำเท่านั้นเอง แต่ละคุ้งน้ำจะมีระดับน้ำลึกมาก โดยเฉพาะคุ้งน้ำที่สองลึกที่สุด มีตำนานเล่าว่าในอดีตกาลครั้งหนึ่งเกิดมีความผิดปกติของธรรมชาติ น้ำในคุ้งน้ำแห่งนี้กระเพื่อมอย่างแรงและมีวัวตัวหนึ่ง ซึ่งเจ้าของจูงลงไปดื่มน้ำใกล้ริมฝั่งทะเลสาบ โดนปลาประหลาดตัวใหญ่โตมากสีแดง มีฟันคมมากลากวัวลงไปกินเหลือแต่ซากภายในเวลาประเดี๋ยวเดียว ชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะเป็นปลายักษ์ ดึกดำบรรพ์ ได้เคยมีนักสำรวจพยายามค้นหาปลานี้แต่ยังไม่พบ มีเพียงภาพปูนปั้นจำลองไว้เป็นอนุสาวรีย์ ที่หน้าโรงแรมใกล้ที่พักของเราที่เจียเติงยี่ ที่พวกเราได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันในวันกลับ เรือแล่นไปจนถึงคุ้งน้ำที่สาม จึงจอดให้พวกเราขึ้นไป บนดาดฟ้าเรือ เพื่อถ่ายภาพที่ระลึก ผลัดกันขึ้นไปเป็นชุดๆ ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว บนท้องฟ้าเกิดรุ้งกินน้ำงดงามมาก ฟ้าสว่างขึ้นสีของน้ำก็สดใสตามไปด้วยน้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าครามอมเขียว เปลี่ยนไปตามความสว่างของท้องฟ้า มีเงาไม้ชายฝั่งที่กำลังเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลืองทอง และแซมด้วยต้นสีแดง และเงาภูเขาที่ สะท้อนลงในน้ำสีครามสวยงามมากเหมือนภาพวาด สมชื่อคานาสือ ที่หมายถึง ดินแดนในฝันอันลี้ลับที่สวยงาม บริสุทธิ์ สดใส ธรรมชาติที่เห็นเบื้องหน้า คุ้มค่ากับการเดินทางมาแสนไกล ไม่ผิดหวังที่มาเที่ยวในครั้งนี้ ความประทับใจทำให้ผมเขียนบทกลอนดังนี้
คานาสือดินแดนในฝัน
ล่องเรือชมทะเลสาบคานาสือที่ร่ำลือว่างามมากอยากจะเห็น
ฝ่าสายลมยามเช้าที่หนาวเย็นความงามเด่นอยู่ที่สีธารา
สีเปลี่ยนตามความลึกตื้นของผืนน้ำและเปลี่ยนตามเงาไม้ที่แน่นหนา
ที่ทับถมจมอยู่ใต้ธาราแสงแดดส่องอ่อนกล้าก็สำคัญ
มองออกไปไกลเด่นเห็นแนวเขาสะท้อนเงาในน้ำงามเหมือนฝัน
ไม้เปลี่ยนสีริมธาราค่าอนันต์เขียวเหลืองส้มครบครันฉันเห็นมา
ป่าสนเขียวเรียงรายใกล้ริมฝั่งดูเหมือนดั่งกางพรมใหญ่ไว้ตรงหน้า
ธรรมชาติงดงามมากยากพรรณนาใครได้มาแลเห็นเป็นชื่นใจ
หลังพิรุณโปรยหยาดเม็ดขาดฟ้าบนนภารุ้งกินน้ำงามสดใส
ประกายรุ้งที่เห็นเด่นอำไพงามไฉไลจริงแท้แม่คุณเอย
คานาสือคือดินแดนอันลี้ลับที่ประทับใจมากยากเอื้อนเอ่ย
ใกล้อัลไตใครได้มาคุ้มค่าเลย===เชิญมาเชยชมความสวยด้วยตนเอง



เสียใจแทนปรีชา สุวินทร์และวันเพ็ญที่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย แต่ไม่เป็นไรครั้งหน้าไปกันใหม่ ไกด์เล่าให้ฟังว่า บางครั้งในวันเดียวเราอาจเจออากาศในทะเลสาบถึงสี่ฤดู คือหน้าหนาวในตอนเช้าตรู่หมอกหนาปกคลุมพื้นน้ำ สายหน่อยอากาศดีต้นไม้ผลิดอกอกใบ เหมือนฤคูใบไม้ผลิ ตอนเที่ยงอากาศร้อนเหมือนหน้าร้อน ตอนเย็นเจอฝนเหมือนหน้าฝน พวกเราล่องเรือชมทัศนียภาพในทะเลสาบจนสมควรแก่เวลา คนขับเรือจึงได้พาพวกเรากลับเข้าฝั่งเทียบท่า พวกเรา เดินขึ้นไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารของอุทยาน ตอนบ่ายจะขึ้นไปชมวิวที่ศาลาชมปลา ซึ่งต้องนั่งรถไปและเดินขึ้นยอดเขา ปรากฏว่าขณะกินอาหารเที่ยงฝนตกหนักขึ้นอีกแล้ว จนกินเสร็จแล้วฝนยังตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย เสียเวลาคอยไปมากแล้ว ผมต้องพึ่งองค์พ่อจตุคามรามเทพ อีกแล้ว อาราธนาท่านและบนบานให้องค์พ่อช่วยให้ฝนหยุดเพื่อพวกเราจะได้เที่ยวต่อกันได้สะดวก หลังจากนั้นนั่งรอสักพักฝนที่ตกหนักค่อยๆลดความรุนแรงลง ตกเพียงปรอยๆพอที่จะไปเที่ยวกันต่อได้ ก็ทยอยกันไปขึ้นรถ เพื่อไปศาลาชมปลาที่ตั้งบนภูเขา รถของอุทยานได้นำพวกเราไปจนถึงเชิงเขา ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่หิมะเริ่มตกลงมาแทน พวกเราลงจากรถไปนั่งพักที่ศาลาที่พัก เตรียมตัวขึ้นไปบนศาลาชมปลาซึ่งอยู่บนยอดเขา ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดไปหลายร้อยขั้น ขณะนี้เราอยู่ภายใต้การโอบล้อมของเทือกเขาอัลไต ในสมัยเรียนชั้นมัธยมต้นคุณครูเคยสอนว่าบรรพบุรุษของไทยมาจากเทือกเขาอัลไต เมื่อเช้านี้ยังคุยกันว่าพวกเราจะไปตามหาญาติที่เทือกเขาอัลไต ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่พวกเราคุยกันจะเป็นจริง เพราะเมื่อผมเดินออกไปจากศาลาที่พักเพื่อจะไปขึ้นยอดเขา ผมเจอญาติของวิโรจน์เดินร้องเพลงจีนสวนเข้ามา ทำให้ผมต้องเดินกลับเข้าศาลาอีกครั้ง และไปบอกวิโรจน์ และเพื่อนๆว่าเจอญาติของวิโรจน์แล้ว พร้อมทั้งชี้ให้ดู ขณะนั้นเขานั่งลงอีกด้านหนึ่งของศาลากับเพื่อนๆร่วมคณะทัวร์ของเขา ทุกคนหันไปมองตามที่ผมบอกและต่างยอมรับว่าญาติของวิโรจน์แน่ เพราะรูปร่างหน้าตาผิวพรรณ เหมือนวิโรจน์มาก เพียงแต่ดูอ่อนวัยกว่าและไม่ภูมิฐานเหมือนวิโรจน์เท่านั้นเอง ขณะเดียวกันเพื่อนของเขาก็กระซิบกระซาบกันและหันมามองวิโรจน์ ผมคิดว่าพวกเขาก็คงเห็นว่าวิโรจน์เหมือนกับเพื่อนของเขาเช่นกัน เสียดายที่เราพูดกันคนละภาษา เลยไม่ได้พูดจาทักทายกัน เรื่องนี้เรานำมาคุยกันอีกหลายครั้งในวันหลัง ที่เล่ามาผมไม่ได้โม้นะครับ ไม่เชื่อถามวิโรจน์ได้เลย จากนั้นผมชวนเพื่อนๆเดินขึ้นยอดเขา หลายคนขอรออยู่ข้างล่าง มีเพียงไม่กี่คนที่ไปขึ้นยอดเขา เพราะว่าหิมะตกมาพรำๆ ลมแรงอากาศเย็น โชคดีที่ผมสวมชุดกันหนาว และสวมทับด้วยเสื้อกันฝน จึงเดินออกไปขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังศาลาชมปลา อันที่จริงน่าจะเรียกว่าศาลาชมวิว จะถูกกว่า เพราะเมื่อเดินขึ้นบันไดไปสักระยะหนึ่งจะมีจุดชมวิว ดูทิวทัศน์ ป่าไม้ ภูเขา และแม่น้ำที่ไหลอยู่ข้างล่างสวยงามดี แต่ ไม่ได้เห็นปลาสักตัว และเมื่อขึ้นบันไดต่อไปอีกหลายสิบขั้นก็จะเจอจุดชมวิวจุดที่สอง และเมื่อขึ้นไปอีกก็ถึงจุดที่สาม และที่สี่ตามลำดับ จนที่สุดเกือบจะถึงศาลาชมปลา เป็นเก๋งจีนที่อยู่บนยอดเขา แต่เนื่องจากหิมะยังคงตกปรอยๆอยู่ตลอดเวลา ลมแรงมาก อากาศหนาว ทางเดินค่อนข้างลื่น และช่างก่อสร้างกำลังซ่อมแซมทางเดินเข้า ศาลา เจ้าหน้าที่อุทยานจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปในศาลา พร้อมทั้งบอกให้ผมรีบลงไป เพราะหิมะจะตกมากขึ้นหากหิมะเกาะบันไดเป็นน้ำแข็งจะลื่น ผมหันไปดูว่ามีใครตามมาบ้างก็ไม่เจอใครเลย จึงตัดสินใจเดินกลับลงไปข้างล่าง สักพักก็เจอหมอทวีศักดิ์ คุณสุรนันท์ และน้องจอม ที่จุดชมวิว จึงชวนกันเดินลง และไปทันหมอหวานและคุณกอบชัยที่กำลังเดินลงเช่นกัน ในที่สุดก็ถึงรถที่จอดรออยู่ จากนั้นพวกเราก็นั่งรถของอุทยานกลับลงไปสักพักใหญ่ก็ถึงที่ทำการของอุทยาน และเปลี่ยนรถอีกครั้งเป็นรถบัสของเรา ทางอุทยานจะเข้มงวดเรื่องรถที่จะเข้าไปในอุทยานอย่างมาก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเพื่อความปลอดภัย ก็ถือว่าเป็น กฏระเบียบที่ดี รถบัสพาพวกเราออกจากอุทยาน คานาสือ กลับสู่ที่พักที่หุบเขาเจียเติงยี่ ที่เดิม อย่างปลอดภัย ต่างสนุกและสุขใจกันทุกคนโดยเฉพาะวิโรจน์ได้เจอญาติแล้ว จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับห้องพักและนัดเจอกันอีกครั้งช่วงอาหารค่ำ คืนนี้อากาศหนาว โชคดีที่มีฮีทเตอร์เป็นตัวช่วย ค่อยสบายหน่อย
         วันที่เจ็ดของการเที่ยวตรงกับพฤหัสที่ 3 กันยายน 2552(ธารน้ำห้าสี-เมืองปีศาจ-เคอลามาอี้) เมื่อวานฝนตกและอากาศหนาว เช้านี้หิมะตกขาวโพลนไปหมด สะพานไม้ที่จะเดินจากที่พักขึ้นถนน หิมะเกาะไม้กลายเป็นพื้นน้ำแข็งบางๆ ลื่นมาก เช้านี้พนักงานขนกระเป๋าลื่นตกสะพานไม้ ลงไปนอนกลิ้งคนหนึ่งแล้ว โชคดีที่สะพานสูงไม่มากแค่1เมตรและพื้นล่างเป็นหญ้าจึงไม่บาดเจ็บมากนัก คุณบุญส่ง เพื่อนของเราลงมาก่อน ก็ลื่นแต่ไม่ถึงกับตกสะพาน ผมเองพอ ย่างเท้าลงบนสะพานไม้ก็ลื่นแต่ไม่ทันล้ม ดีที่คุณบุญส่งแกตะโกนบอกให้ทราบเสียก่อน เลยไม่กล้าเดินบนสะพานไม้เพราะเกรงจะลื่นล้มก่อนจะข้ามพ้น จึงยอมเดินเลี่ยงลงไปทางพื้นหญ้าปลอดภัยกว่า หลายคนทำตาม เพราะพวกเราล้วนแต่เป็น สว.สูงวัย ทั้งนั้นไม่อยากเสี่ยง หากล้มลงกระแทกแรงๆมีหวังกระดูกหักได้ง่าย หลังอาหารเช้า เราออกเดินทางไปชมแม่น้ำห้าสี แต่ก่อนจากหุบเขาเจียเติงยี่ โชเฟอร์พาพวกเราไปถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ปลายักษ์ ดึกดำบรรพ์ สีแดง ฟันคมมาก ที่ตำนานเล่าว่า กินวัวหมดภายในอึดใจเดียว จากนั้นนั่งรถบัสออกจากหุบเขา เพื่อเดินทางไปชมธารน้ำห้าสี (อู่ฉ่านทาน) เส้นทางที่ผ่านเช้านี้สวยงามมากเพราะวิ่งอยู่บนภูเขา หลายลูก เป็นเขาพับผ้า เลี้ยวโค้งคดเคี้ยวไปมา วกวน ลงเป็นชั้นๆ สองข้างทางเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก ใบไม้ กำลังเปลี่ยนสี จากเขียวเป็นเหลืองทอง บางต้นเริ่มเป็นสีแดง ภูเขาสลับซับซ้อน บนยอดมีหิมะปกคลุม บางช่วงผ่านกระโจมที่พักของชาวบ้าน พวกคาซัก และมองโกล ผ่านฝูงแกะและม้าที่พวกเขาเลี้ยงไว้ ผ่านทุ่งหญ้าที่มีหิมะปกคลุม บางครั้งผ่านสายธารระหว่างซอกเขา กำลังไหลผ่านโขดหิน เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก หลังจากนั่งรถได้สักสองชั่วโมงก็ถึงทุ่งหินห้าสี บริเวณกว้างขวางรถแวะให้ชม ธารน้ำห้าสี ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวมาชมความงามของสายน้ำที่มีสีสะท้อนจากภูเขาและโขดหินสีต่างๆที่อยู่บนฝั่ง เมื่อแสงแดดสาดส่องบนหินทำให้สีจากแร่ธาตุต่างๆที่อยู่ในหินสีแดง สีส้ม สี เหลืองและสีอื่นๆ จะสะท้อนลงไปในธารน้ำ ตัดกับสีเขียวของต้นไม้และสีฟ้าใสของแม่น้ำเออร์ทิค ทำให้ธารน้ำมีสีต่างๆกันหลายสี เป็นธรรมชาติที่สวยงามและแปลกดี ทางการจีนทำสะพานยื่นลงไปในน้ำเป็น จุดชมวิว และถ่ายภาพ ที่ระลึกไว้หลายจุด เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ หลังจากชื่นชม ธรรมชาติกันเต็มอิ่ม ก็แวะถ่ายรูปกับไม้กลายเป็นหิน ในบริเวณนั้น แล้วดินทางออกจากเบอร์ซิน ถนนตัดผ่านเนินเขาที่มีหินสีดำเทา หินที่มีแง่มีเหลี่ยมคล้ายหินอุกกาบาต ดูเสมือนย้อนเวลากลับไปอยู่ในสมัยโลกล้านปี พวกเราเดินทางต่อไปจนถึงเมือง ปู้เอ๋อจิน ที่เราเคยผ่านมาเมื่อสามวันที่แล้ว เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องปลาน้ำเย็น เราแวะรับประทานอาหารเที่ยง
เสร็จแล้วเดินทางต่อเพื่อไปชม แพะเมืองผีหรือเมืองปีศาจ วูเออเห่อ (Wuerher Ghost City) ของจีนที่มีจำนวนมากมายและขนาดใหญ่โต ในเนื้อที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในเขตลมแรง(Wind Towns) นักธรณีวิทยา สันนิฐานว่า เมื่อล้านล้านปีมาแล้วพื้นที่บริเวณเมืองปีศาจ เคยเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาด เป็นที่หากินของสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ เช่นไดโนเสาร์ประเภท Pterosaursและ Stegosaurs อาศัยอยู่ และเมื่อถึงยุคหนึ่ง เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง ทำให้ท้องทะเลสาบบริเวณนี้พลิกตัวกลับกลายเป็นทะเลทราย ที่มีแอ่ง และหุบเขาดินปนหิน จำนวนมากมาย กาลเวลาและกระแสลมอันรุนแรงได้ขัดเกลา กัดกร่อน และพัดพาทรายและดินที่อ่อนออกไป จนเหลือส่วนที่แข็งเป็น ภูเขาดินปนหิน (Clay rock mountains) เหล่านี้ ก่อให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆจำนวนมากมาย บางอันเหมือนหอคอยสูงใหญ่ บางอันเหมือนเจดีย์ บ้างเหมือนปราสาท ช่วงที่นั่งรถกลับไกด์ชี้ให้ดูอันหนึ่งเหมือนวังโปตาลา และรูปร่างอื่นๆอีกหลากหลายเต็มไปหมด และมีสีสันต่างๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองแกมส้มคล้ายๆ สีอิฐ เมื่อตะวันสาดแสงบริเวณนี้จะเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่าม งดงามเกินคำบรรยาย ในเวลากลางคืนลมแรงมาก สายลมที่พัดผ่านซอกดินหินผาก่อให้เกิดเสียงโหยหวน เหมือนเสียงปีศาจนับพันร้องโหยหวนน่าสยดสยองขนลุกขนชัน น่ากลัวยิ่งนัก ชาวมองโกเลียน เรียกที่นี่ว่าSulumuhak ชาวคาซัค เรียก Shayitikerxi ทั้งคู่หมายถึง Ghost City ในกลางวัน เมื่อลมพัดผ่านเม็ดทรายจะปลิวกระจาย บังเกิดเสียงแว่ว คล้ายเสียงคำรามของเสือ ชาวพื้นเมืองเรียกขานที่นี้ว่าเมืองปีศาจ บางคนเรียกWind City บริเวณนี้ กว้างใหญ่มากเนื้อที่หลายร้อยไร่เดินดูไม่ไหว ต้องนั่งรถเข้าไปชม มีจุดที่น่าสนใจเขาจอดรถให้ถ่ายรูปหลายจุด นับเป็นประติมากรรมชิ้นโบว์แดงที่ธรรมชาติ รังสรรค์ มอบเป็นของขวัญให้ชาวโลกได้ชื่นชม ทางการจีนจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเก็บเงินค่าเข้าชมคนละ30 หยวน หรือ 150 บาท ภายในบริเวณจุดจอดรถ ชาวบ้านนำอูฐมาให้ขี่ หลายเจ้า พวกเรามีเวลาจำกัดเลยไม่ได้อุดหนุน หลังจากชื่นชมความงามกันเต็มอิ่ม ก็เดินทางต่อไป สู่เมืองคาลามาอี้ ซึ่งเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยน้ำมัน ช่วงนี้ถนนไม่ดี รถแล่นลงจากถนนใหญ่ ลงไปแล่นบน ถนนที่เป็นหินปนดินทราย เพราะเป็นทะเลทราย มีต้นไม้ที่หาดูได้ยาก ที่ขึ้นเฉพาะในทะเลทรายคือต้นหูหยาง เป็นต้นไม้ที่อายุยืน จนมีคำกล่าวว่าพันปีไม่ตาย ตายแล้วพันปีไม่ล้ม ล้มแล้วพันปีไม่ผุ ซึ่งคนจีนสมัยโบราณใช้ทำโลงศพจะรักษาศพไม่ให้เน่าได้ ซึ่งจะเล่าให้ทราบในตอนหลัง เป็นไม้ยืนต้น มีรากแก้วฝังลึก และมีรากย่อยๆจำนวนมากลอยอยู่เหนือพื้นดินใบก็มีคุณสมบัติพิเศษมีกะเปาะเล็กๆดูดเก็บน้ำได้ดี ในต้นเดียวมีใบถึงสามลักษณะ ใบแก่ลักษณะคล้ายใบแปะก้วย มีอายุ15ปีขึ้นไปอยู่ช่วงล่าง ช่วงกลางใบที่มีอายุสามถึงสิบห้าปี ลักษณะคล้ายใบหวีสู้ ช่วงบนใบที่มีอายุน้อยกว่าสามปีลักษณะคล้ายใบหลิว เราเดินทางบนพื้นขรุขระหลายสิบกิโลเมตร เพราะถนนหลวงกำลังโดนซ่อมแซม แต่ในที่สุดได้ขึ้นถนนสี่เลนอีกครั้ง สองข้างทางเป็น พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมัน ที่เจ้า ตั๊กแตนยักษ์ กำลังทำงานเจาะดูดน้ำมันอยู่ จำนวนมากมายนับพันตัว ที่เรียกตั๊กแตนยักษ์เพราะเครื่องเจาะน้ำมันคล้ายตัวตั๊กแตนจริงๆเสียด้วย พูดถึงบ่อน้ำมันของจีนแล้วต้องถือว่าเป็นการพบโดยบังเอิญ ตอนแรกไม่มีใครทราบว่ามีน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลอยู่ใต้พื้นดิน แต่แล้ววันหนึ่งมีชายชราชาวบ้านนอกคนหนึ่งชื่อ ไซ่หลีมู่ สังเกตเห็นมีของเหลวสีดำไหลออกจากใต้พื้นดิน และเมื่อนำไปจุดไฟก็ติดไฟ ทุกๆเช้าแกจะไปเอาของเหลวสีดำนี้ใส่ถัง ไปแลกกับข้าวสารและของใช้ที่ในเมือง ใครถามว่าแกได้มาจากไหน แกไม่ยอมบอก จนข่าวลือเรื่องการพบน้ำมันของแกรู้ไปถึงรัฐบาลจีน ทางการก็ส่งคนมาสอบถาม แกก็ไม่ยอมบอกเช่นกัน ทางการจีนก็แอบส่งคน มา สะกด รอยตามแกอย่างลับๆอยู่นาน จนในที่สุดก็ทราบว่าแกได้มาจากนาน้ำมันซึ่งอยู่ในบริเวณเมืองเคอลามาอี้ (Calamay) หลังจากนั้นรัฐบาลก็เลยสำรวจ และพบว่ามีน้ำมันดิบมากมาย จึงได้เจาะดูดเอาน้ำมันดิบมาใช้ อย่างที่เห็นทุกวันนี้ และเพื่อเป็นเกียรติแก่นาย ไซ่หลีมู่ จึงสร้างอนุสาวรีย์ให้แก ที่บ่อแรกที่แกพบเป็นรูป นายไซ่หลีมู่นั่งดีดพินบนหลังม้า ซึ่งในตอนเย็นวันนั้นพวกเราก็ได้แวะไปชมอนุสาวรีย์ และไปดูบ่อน้ำมันดิบสีดำที่ไหลขึ้นมาจากใต้ดินเป็นบ่อธรรมชาติเสร็จแล้วไปรับประทานอาหารเย็น และเข้าพักที่โรงแรม Boda Yin Du Hotel เมืองคาลามาอี้
         วันที่แปด ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2552(เคอลามาอี้-อูรูมูฉี-ชมโชว์ซินเจียง) ตื่นเช้าออกไปเดินชมวิว ใกล้ๆโรงแรม มีสวนสาธารณะ ไปเดินเล่นและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เมืองเคอลามาอี้ ฝรั่งเรียก Calamay ชื่อนี้ในภาษาอุยกูร์มีความหมายว่า “ดำ” ซึ่งหมายถึงเมืองที่มี สองดำ ดำแรกคือน้ำมันดิบสีดำ ที่นี่มีการขุดพบน้ำมันมากว่า 30 ปีแล้ว เป็นเมืองที่ขุดเจาะน้ำมันที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของจีน ผลิตน้ำมันได้ประมาณ 6.5 ล้านตันต่อปี นอกจากน้ำมันดิบแล้วยังมีดำที่สองคือถ่านหินสีดำมากมายมหาศาลเช่นกันเช่นกัน เป็นเมืองที่ทันสมัย มีระบบไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นส่วนใหญ่ ในระยะแรกมีปัญหาเรื่องน้ำ ทางรัฐบาลกลางจึงผันน้ำมาจากเทือกเขาอัลไต ซึ่งอยู่ห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร โดยวางระบบชลประทาน ก่อสร้างเป็นรางส่งน้ำขนาดใหญ่ ทำให้เคอลามาอี้ ไม่ขาดแคลนน้ำ และสามารถเพาะปลูกได้ด้วย ถือเป็นเป็นเมืองใหม่ในเขตทะเลทรายโกบี ตั้งอยู่แถบซินเจียงตอนเหนือ และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอ่งจุงการ์ (Junggar Basin) เป็นเมืองที่เศรษฐกิจดีมาก ตึกรามบ้านช่องสร้างอย่างทันสมัยสวยงาม หลังจากรับประทานอาหารเช้า พวกเราก็เดินทางกลับไป อูรูมูฉีเมืองเอกของมณฑลซินเจียง ประชากรส่วนใหญ่ ร้อยละหกสิบนับถือศาสนาอิสลามเรียกว่าพวกอุยกูร์ และมีชาวฮั่นอีกสามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าอื่นๆ พวกอุยกูร์ หรือจีนมุสลิมกับชาวฮั่น มีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อย เมื่อไม่นานมานี้ พวกอุยกูร์ ได้ทำร้ายหญิงสาวชาวฮั่นเสียชีวิต และรัฐบาลกลางไม่สามารถจับคนทำร้ายมาลงโทษได้ ทำให้ชาวฮั่นโกรธแค้นมาก จึงเดินขบวนประท้วงรัฐบาล หาว่ารัฐบาลกลางเอาใจพวกอุยกูร์มากเกินไป เรื่องลุกลามใหญ่โต จนรัฐบาลต้องส่งกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ดังนั้นในวันนี้ เมื่อพวกเราเดินทางถึงเมืองอูรูมูฉี จึงเห็นทหารเต็มไปหมด โดยเฉพาะในเขตที่มีพวกอุยกูร์อยู่มากๆ โดยเกรงว่าจะมีการปะทะระหว่างสองกลุ่ม คู่อริ ทำให้พวกเราพลาดโอกาสไปเที่ยวตลาดต้าปาจา เพราะทหารปิดถนนไม่ให้เข้าไป เป็นตลาดที่มีพวกอุยกูร์ขายของพื้นเมืองมากมาย ดังนั้นหลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ ต้องเปลี่ยนเป็นไปดูสินค้าที่อื่นที่ทหารไม่ปิดถนน มีสินค้าพวกเสื้อผ้า พรม หยก และสมุนไพร พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีใครซื้อ ตอนค่ำไปรับประทานอาหารและชมโชว์ระบำซินเจียง ซึ่งมีหลายชุด ส่วนใหญ่เป็นการร่ายรำประจำเผ่าต่างๆของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในซินเจียง และมีการร้องเพลงของ นักร้องหญิง และชาย โชว์การสีซอจีน ชุดสุดท้ายเป็นเด็กโชว์การเดินทรงตัวบนลวดสลิง หลังจากเลิกงานพวกเราเดินทางกลับที่พัก จะเห็นทหารอยู่ตามถนนจุดต่างๆเต็มไปหมด แต่ไม่รู้สึกกลัว เพราะเขาไม่มายุ่งกับนักท่องเที่ยว เพียงแต่พวกเราจะใช้ โทรศัพท์หรือส่ง อีเมลล์ จากซินเจียงไปเมืองไทยไม่ได้ เพราะเขาตัดการสื่อสารออกนอกประเทศโดยสิ้นเชิง
         วันที่เก้าตรงกับวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2552(พิพทธภัณฑ์ซินเจียง-สวนหงซานกงหยวน-สวนลุ่ยหมัวโกวกวางโจว) หลังอาหารเช้า ไปชมพิพิธภันฑ์ซินเจียง ไฮไลท์ของที่นี่คือมัมมี่อายุนับพันปี แต่วิธีเก็บศพไม่เหมือนของอียิปต์ ไม่ได้ใช้น้ำยาอาบศพ แต่ใช้หนังวัวห่อศพ ใส่ไว้ในโลงไม้หูหยางหรือไม้พันปีไม่เปื่อยและใช้หยกใส่ในโลงหยกจะช่วยรักษาความเย็นและฝังไว้ในพื้นดินที่มีอากาศหนาวเย็นเพราะซินเจียงเหนืออากาศค่อนข้างจะหนาวเย็น จะช่วยรักษาศพได้ เขาเจอศพที่ไม่เน่าถึง สามศพ อายุกว่าสามพันแปดร้อยปี สภาพศพยังดีมาก ศพที่หนึ่ง เป็นผู้หญิงหลังจากที่ผ่าท้องตรวจดูเขาพบว่าในกระเพาะอาหารเจอเม็ดบัวที่กินเข้าไปยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่ย่อยสลาย แต่หลังจากโดนอากาศก็เปลี่ยนไป ศพที่สองเป็นทหารเป็นยศขุนพลร่างใหญ่ เขางอสันนิษฐานว่าน่าจะขี่ม้ามาก อายุประมาณ 50 ปี ข้างศพมีหมวกติดขนนก ส่วนศพที่สามเป็นศพเด็ก นอกจากมัมมี่แบบจีนแล้ว มีอีกหลายห้องที่จำลองบ้านเรือน ชุดแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ เพื่อให้รู้ถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในซินเจียง เช่นเผ่าคาซัก เผ่ามงโกล เผ่ารัสเซีย เคอกิช เผ่าหุย เผ่าทาจิค เผ่าซิโบ เผ่าตาต้า เผ่าอุยกูร์ เผ่อุชเบก และเผ่าแมนจู หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ ไปเที่ยวสวนหงซานกงหยวน เป็นสวนสาธารณะที่ตั้งบนเนินเขา ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีชาวบ้านมาออกกำลังกายรำมวยจีนเป็นคณะ บ้างก็ มาเดินเล่นมากมาย ด้านหลังสวน มีอนุสาวรีย์คนสำคัญ เราเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์เมืองซินเจียง และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จากนั้นไปชมสวนสาธารณะอีกแห่งชื่อสวนสุ่ยหมัวโกว เป็นสวนที่กว้างใหญ่มาก เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ถ้าเดินชมคงไม่ไหวแน่ คุณหมอหวาน จึงเป็นสปอนเซอร์เหมารถให้พวกเราได้นั่งชมสวนอย่างสบายใจ ขอบคุณแทนทุกคนนะครับ ภายในสวนมีต้นไม้โตๆ เขียวขจี อากาศดีร่มรื่น มีแอ่งน้ำใสไหลผ่านและมีบ้านพักน่ารักหลังเล็กอยู่หนึ่งหลัง ทัศนียภาพที่สวยงาม เหมาะกับการพักผ่อนคลายเครียด หลายคนหามุมถูกใจถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันใหญ่ จากนั้นไปกินอาหารเที่ยงอย่างอร่อยมื้อสุดท้ายในอูรูมูฉี เสร็จแล้วเดินทางสู่สนามบิน เพื่อจะบินไปกวางเจา เครื่องบินจะออกเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ผมแยกกับลูกชายที่สนามบิน น้องจอมต้องบินกลับหังโจวเครื่องบินออกช้ากว่าของเราประมาณชั่วโมงเศษ เราใช้เวลาเดินทางกลับสี่ชั่วโมงสี่สิบห้านาที โดยสายการบิน China Southern Airlines ถึงสนามบินกวางเจาเกือบเที่ยงคืน กว่าจะออกจากสนามบินขึ้นรถบัสที่ น้องหยกไกด์สาวมารับ กลับถึงที่พัก Landmark Hotel ก็เลยเที่ยงคืน ทุกคนต่างรีบเข้าห้องพักผ่อนเพื่อเตรียมเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้
         วันที่สิบ อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552(กวางโจว-วัดไทรหกต้น-สุวรรณภูมิ) หลังอาหารเช้าที่โรงแรม ไปเที่ยว วัดหลิวหย่งถ่า หรือวัดไทรหกต้น(Temple of the Six Banyan Trees) เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมานาน 1462 ปี สร้างเมื่อค.ศ. 537 เมื่อก่อนมีต้นไทรใหญ่หกต้นแต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีต้นไทรเหลือสักต้น มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปแบบจีนหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงามมากและมีหอคอยไม้สูงหลายชั้นเป็นศิลปะแบบจีน ได้รับการบูรณะดูแลรักษาอย่างดี ภายในวัดร่มรื่นดี หลังจากนั้นไปช็อปปิ้งที่ตลาดคนเดินย่าน GUIHUAGANGที่ใหญ่มากมีสารพัดสินค้า คนแน่นไปหมด ถูกใจลูกคุณช่างซื้อจริงๆ สินค้าราคาต่อรองกันได้ มีทั้งของแท้และของก็อปปี้เต็มไปหมด ที่กวางเจามีโรงงานผลิตของเลียนแบบอยู่มากมาย อย่างพวกนาฬิกาRolex ของก็อปปี้มีหลายเกรด เกรดดีๆใส่แล้วแยกจากของแท้แทบไม่ออก ราคาก็ขึ้นอยู่กับการต่อรองและความพอใจของทั้งสองฝ่าย จนถึงเที่ยง ไปรับประทานอาหารกลางวัน เสร็จแล้วไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย โดยสายการบิน CHINA SOUTHERN AIRLINES เที่ยวบินที CZ 363 หลังจากนั่งเครื่องประมาณ สามชั่วโมงเศษ ก็ถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
บันทึกการเดินทางโดย นายแพทย์ไพวงศ์ สวนดอก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทำไมต้องไปเที่ยวจีน

ตะลุย 10 เมืองแดนมังกร ชมธรรมชาติ ตามรอยประวัติศาสตร์จีน